การขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight)

การขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight)

         การขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นส่วนประกอบที่สําคัญส่วนหนึ่งของ ระบบการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเป็นเพียงการขนส่งชนิดเดียวที่ขนสินค้าได้คราวละมากๆ และค่าระวางมีราคาถูกกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ การขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกของไทยเป็นการขนส่งทางทะเลเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นการขนส่งสินค้าทางทะเลจึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าและส่งออกสินค้าจึงควรจะศึกษาและทําความเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆ ที่สําคัญเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ดังนี้คือ

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ได้แก่

- เจ้าของเรือ (Ship Owner)

- ผู้เช่าเรือ (Ship Charterer)

- ตัวแทนสายเดินเรือ และตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Shipping Agent & Freight Forwarder)

- ผู้ส่งสินค้า (Shipper or Exporter)

- ผู้รับตราส่ง (Consignee)

- ผู้รับสินค้า (Notify Party)

ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือได้แก่ 

1. บริษัทเรือหรือตัวแทนสายเดินเรือ 

2. Sea Freight Forwarder

บทบาทและหน้าที่ของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล มีดังนี้ 

- ตัวแทนสายเดินเรือ (Ship Agent) ตัวแทนสายเดินเรือคือผู้รับมอบอํานาจจากเจ้าของเรือให้เป็นผู้ดําเนินการแทนเจ้าของเรือ ณ.เมืองท่าต้นทางและเมืองท่าปลายทาง ตัวแทนสายเดินเรือมีหน้าที่โดยทั่วไป ดังต่อไปนี้ 

1. จัดหาระวางบรรทุกให้แก่ผู้นําเข้าและผู้ส่งออก 

2. ออกใบตราส่งสินค้าให้แก่ผู้ส่งออก 

3. ออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้นําเข้า

- Freight Forwarder คือ ตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ  Freight Forwarder อาจทําหน้าที่  หลายอย่าง เช่น บางรายทําหน้าที่เป็นตัวแทนในการจัดหาและจัดการขนส่งสินค้าของผู้ส่งออกไปยังเมืองท่าปลายทางบางรายทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ส่งสินค้ากับผู้รับขนส่งสินค้า บางรายอาจทําหน้าที่เป็นผู้ขนส่งสินค้าโดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นผู้ประกอบการขนส่งสินค้าหลายรูปแบบ (Multimodal Transport Operator) หรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่เจ้าของเรือ (Non-Vessel Operating Common Carrier (NVOCC))

Freight Forwarder มี 2 ประเภท ได้แก่

1. Sea Freight Forwarder

2.  Air Freight Forwarder

ตารางเดินเรือ (Shipping Schedule) 

ตารางเดินเรือมีความสําคัญเป็นอย่างมากต่อการนําเข้าและส่งออก เพราะมีผลโดยตรงต่อการส่งมอบสินค้า ดังนั้นผู้นําเข้าและผู้ส่งออกจึงจําเป็นจะต้องทราบตารางเดินเรือเพื่อที่จะกําหนดระยะเวลาในการสั่งซื้อสินค้าให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าหรือให้ทันต่อความต้องการของสายการผลิตในกรณีที่เป็นการนําเข้า หรือ กําหนดระยะเวลาในการผลิตหรือรวบรวมสินค้าเพื่อให้ทันต่อเที่ยวเรือที่จะส่งออกก่อนที่ L/C หรือคําสั่งซื้อจะหมดอายุ

ขั้นตอนการขนส่งสินค้าทางเรือ (Sea Freight)

- ผู้นำเข้าหรือส่งออก ตรวจสอบสินค้า

- ติดต่อบริษัทตัวแทนขนส่ง

- นัดสถานที่รับสินค้าและจัดเตรียมเอกสาร

- จัดส่งสินค้าและรับเอกสาร B/L

เอกสารสำคัญที่ใช้ในการนำเข้า-ส่งออก ​(Sea Freight)

- ใบขนสินค้า

- ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading)

- บัญชีราคาสินค้า (Comercial Invoice)

- บัญชีบรรจุหีบห่อ (Packing  List)

การขนส่งสินค้าทางทะเลเป็นบริการหลักบริการหนึ่งตั้งแต่อดีต จนถึงปัจุบัน ด้วยความสะดวกเรื่องของจำนวนสินค้าที่สามารถขนส่งสินค้าได้เป็นจำนวนมาก คราวนี้เรามาดูกันว่าการขนส่งสินค้าทางทะเลมีข้อดีอะไรบ้าง

1. เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม เรือนั้นจะใช้การเผาผลาญของเชื้อเพลิงน้อยซึ่งเป็นการลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ดังนั้นขนส่งโดยเรือจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จึงเป็นผลดีต่อระบบนิเวศน์ทางน้ำเเละสิ่งที่ชีวิต

2. การจราจร ถ้าจะพูดถึงการจราจรที่หนาเเน่นของระบบขนส่งนั่น อาจจะกล่าวได้ว่าขนส่งทางน้ำแทบจะนับจำนวนการเดินเรือได้เลยเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ของน้ำทะเล เป็นเหตุให้ว่าขนส่งทางน้ำมีประสิทธิภาพมากที่สุด

3. ค่าใช้จ่ายถูก การขนสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดปลายทางเดียวกับหลายๆบริษัท จึงทำให้ต้นทุนของบริษัทเดินเรือได้ถูกเเชร์ออกไปเป็นค่าบริการของผู้ใช้บริการเเต่ละเจ้า เลยทำให้เราได้ค่าบริการที่ถูก

4. ขนาดเเละปริมาณสินค้า สินค้าส่วนใหญ่ คือ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ดังนั้นจึงเหมาะเเก่การขนสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ขนาดใหญ่เเละปริมาณมากในครั้งเดียวซึ่งรูปแบบหลักที่นิยมขนส่งกัน คือ แบบการขนส่งเต็มตู้คอนเทนเนอร์ (Full Container Load : FCL) และแบบการขนส่งไม่เต็มตู้คอนเทนเนอร์ (Less than Container Load : LCL)

เครดิต : goodfreight-th, vfriendlogistics.com, lazypax
เรียบเรียงโดย : โรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS)

Visitors: 61,830